กรมสรรพากร สั่งให้แพลตฟอร์มออนไลน์ส่งข้อมูลรายได้เพื่อเก็บภาษีจากบรรดาร้านค้า มีผลบังคับใช้กับข้อมูลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 67 พ่อค้า-แม่ค้า ขายของออนไลน์ จะต้องยื่นภาษีอย่างไร

(6 มกราคม 67) หลังจากที่ กรมสรรพากร ได้มีการกำหนดให้อิเล็กทรอนิกส์แพลตฟอร์มจัดทำบัญชีพิเศษ เพื่อนำส่งข้อมูลรายรับของผู้ประกอบการให้กับกรมสรรพากร โดยจะมีผลบังคับใช้กับข้อมูลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2567 เป็นต้นไป

สำหรับแพลตฟอร์มที่ให้บริการในไทยมีจำนวนมาก อาทิ ธุรกิจ e-Commerce, บริการส่งอาหารและสินค้า อาทิ Shopee, Lazada, LINE MAN, Grab, TikTok เป็นต้น

โดยกำหนดเงื่อนไข ให้อิเล็กทรอนิกส์แพลตฟอร์มที่จดทะเบียนในไทย และมีหรือเคยมีรายได้ในรอบบัญชีเกิน 1,000 ล้านบาท ต้องทำบัญชีพิเศษ หรือ บัญชีที่แสดงข้อมูลรายรับของอิเล็กทรอนิกส์แพลตฟอร์มที่ได้รับจากผู้ประกอบการ พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่ขายสินค้า หรือบริการบนแพลตฟอร์ม โดยต้องนำส่งไปให้กรมสรรพากร ภายใน 150 วัน นับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี

ดังนั้น “พ่อค้า-แม่ค้า” ที่มีการขายของในแพลตฟอร์มออนไลน์ นอกจากจะมีรายได้จากการขายของแล้ว สิ่งสำคัญตอนนี้คือต้องรู้ “การยื่นภาษี” อย่างถูกต้อง ถูกวิธี เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา ประชาชาติธุรกิจได้ทำการสรุปขั้นตอน เงื่อนไข เรื่อง “ภาษี” กับการ “ขายของออนไลน์” เอาไว้ดังนี้

ขายของออนไลน์เสียภาษีอย่างไร

สำหรับผู้ค้าขายทางออนไลน์จำเป็นต้องรู้จักภาษี 2 ประเภทสำคัญ ได้แก่ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพื่อไม่ให้มีปัญหาถูกประเมินภาษีย้อนหลัง ทั้งนี้รายได้ที่เกิดจากการขายของออนไลน์ผ่าน Social Media Platform และ Market Place Platform เป็น เงินได้ประเภทที่ 40(8) ซึ่งเป็นเงินได้ของ บุคคลธรรมดา ที่เปิดร้านขายของออนไลน์โดยส่วนใหญ่ เพราะเป็นเงินได้จากการค้าขายที่ต้องนำไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีมูลค่าเพิ่ม

พ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์ยื่นภาษีเมื่อไร

คนขายของออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นใครหรืออายุเท่าไรหาก มีรายได้เกิน 60,000 บาท หรือแม้กระทั่งคนที่มีคู่ (สมรส) หรือ ผู้ที่มีรายได้รวมทุกช่องทางเกิน 120,000 บาท มีหน้าที่ต้องยื่นภาษี 2 รอบ

  • ยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี (ภ.ง.ด.94) วันที่ 1 กรกฎาคม – 30 กันยายนของปีเดียวกัน
  • ยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี (ภ.ง.ด.90) วันที่ 1 มกราคม – 31 มีนาคมของปีถัดไป

และสำหรับรายได้ประเภทที่ 8 (40(8) ต้องยื่นภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด.94) ช่วงเดือนกรกฎาคม – กันยายน เป็นการยื่นภาษีกลางปี เพื่อสรุปรายได้ที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีภาษีแรกที่ผ่านมาด้วย

ยอดขายเกิน 1.8 ล้านต้องจด VAT

กรณีรายได้จากการยอดขายทั้งปีเกิน 1,800,000 บาท ต้องจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.01) ภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันที่มีรายรับเกิน 1,800,000 บาท ณ สรรพากรเขตพื้นที่ ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ หรือยื่นผ่านออนไลน์

เมื่อจดมูลค่าเพิ่ม (VAT) แล้ว ผู้ประกอบการต้องเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 7% จากผู้บริโภค โดยคำนวณจากมูลค่าสินค้า แล้วนำส่งให้กรมสรรพากรอีกที โดยต้องยื่นภาษีเป็นรายเดือน ซึ่งเรียกว่า ภ.พ.30 ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป

ดังนั้นควรวางแผนไว้ก่อน เพราะภาษีมูลค่าเพิ่มส่งผลโดยตรงต่อการตั้งราคาสินค้า ด้วยการเพิ่มราคาสินค้าเข้าไปอีก 7% ตั้งแต่แรก เพราะลูกค้าอาจจะไม่พอใจ ถ้าขึ้นราคาสินค้า หลังจากที่ร้านไปจดภาษีมูลค่าเพิ่ม ต้องคำนวนให้ดี

และสามารถยื่นภาษี สำหรับขายของออนไลน์ ได้ที่ไหน

  • ยื่นภาษีด้วยตัวเองที่กรมสรรพากร

กรอกแบบฟอร์ม ภ.ง.ด. แล้วจัดเตรียมเอกสารยื่นภาษีที่เกี่ยวข้อง เดินทางไปยื่นภาษีด้วยตัวเองที่สำนักงานสรรพากรทุกพื้นที่ ในวันและเวลาราชการ

  • ยื่นภาษีผ่านช่องทางออนไลน์

เข้าเว็บไซต์ของกรมสรรพากร ที่ www.rd.go.th สามารถใช้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เว้นวันหยุดราชการ ซึ่งการยื่นภาษีขายของออนไลน์ผ่านเว็บไซต์จะมีความสะดวกรวดเร็ว และยังมีการขยายเวลายื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีให้ช้าออกไปกว่าการยื่นด้วยตัวเองที่กรมสรรพากรอีกด้วย

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้ที่จำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ (Strictly Necessary Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้มีความสำคัญต่อการปฏิบัติการของเว็บไซต์ feedforfuture.co ซึ่งจะช่วยให้ท่านสามารถเข้าถึงข้อมูลและเนื้อหาต่างๆ ของเว็บไซต์เราได้ทุกส่วน โดยเฉพาะส่วนสมาชิกผู้ใช้งานของเว็บไซต์ ตลอดจนการตรวจสอบจำนวนผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา

  • คุกกี้ด้านประสิทธิภาพการทำงานของเว็บไซต์ (Performance Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ใช้เพื่อรวบรวมข้อมูลทางสถิติเกี่ยวกับการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน เพื่อวิเคราะห์ และช่วยให้เราทราบถึงพฤติกรรมการใช้งาน ซึ่งจะช่วยปรับปรุงการทำงานของเว็บไซต์เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการใช้งานบนเว็บไซต์ของเรา

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาเข้ากับกลุ่มเป้าหมาย (Targeting Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ใช้ในการบันทึก และจดจำคุณลักษณะต่างๆ ที่ท่านได้เลือกขณะเข้าชมเว็บไซต์ของเรา เช่น หมวดหมู่ และเนื้อหาที่ท่านชอบอ่านมากที่สุด เราจะบันทึกข้อมูลเหล่านี้ และนำกลับมาใช้เมื่อท่านกลับเข้ามาที่เว็บไซต์ของเราอีกครั้ง เพื่อปรับให้ท่านได้รับชมเนื้อหาได้ตรงกับความชอบของท่านให้มากที่สุด

  • คุกกี้เพื่อนำเสนอโฆษณาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย (Advertising Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ใช้เพื่อจดจำพฤติกรรมการอ่านเนื้อหาบนเว็บไซต์ของท่าน รวมถึงรายละเอียดของอุปกรณ์ที่ท่านใช้ เพื่อนำไปใช้วิเคราะห์การนำเสนอโฆษณาที่เหมาะสมกับท่านมากที่สุด และช่วยวัดความมีประสิทธิผลของโฆษณาที่เรานำเสนอด้วย ตลอดจนช่วยป้องกัน หรือจำกัดจำนวนครั้งที่ท่านจะเห็นโฆษณาเดิมซ้ำๆ

บันทึก